เมนู

พุทธอุทานคาถาที่ 2


เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่
พราหมณ์ ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความ
สงสัยทั้งปวง ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ความสั้นแต่งปัจจัยทั้งหลาย.

[3] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็น
อนุโลมและปฏิโลม ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม


เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมันส อุปายาส.

เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม


อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือ ด้วยมรรคคือวิราคะ
สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ.

เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถาที่ 3


เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏ
แก่พราหมณ์ ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น
พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้
ดุจพระอาทิตย์อุทัยทำอากาศให้สว่าง ฉะนั้น.

โพธิกถา จบ